ทำไม? ถึงต้องอ่านหนังสือ

“ถ้าย้อนเวลาไป 10 ปีที่แล้ว
ผมจะบอกให้ตัวเองอ่านหนังสือเยอะๆ”

ตอนแรกผมจะตั้งโพสนี้ว่า “อ่านหนังสือดี อย่างไร?” แต่เปลี่ยนเป็น “ทำไม? ถึงต้องอ่านหนังสือ” ดีกว่า เรารู้อยู่แล้วว่าการอ่านหนังสือมันดียังไง แต่แค่ยังหาเหตุผลที่จะอ่านไม่เจอ

  1. อ่านสือบางเล่ม ช่วยแก้ปัญหาให้เราได้
  2. เรามีเหตุผลมากมายที่จะไม่อ่านหนังสือ
  3. เราเป็นนักอ่านอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่รู้ตัว
  4. อ่านสรุป vs. อ่านหนังสือ
  5. เริ่มแค่วันละนิด จนมันสร้างนิสัย(Routine)
  6. ไม่ต้องเชื่อใคร แค่พิสูจน์ด้วยตัวเอง

อ่านสือบางเล่ม ช่วยแก้ปัญหาให้เราได้

ถ้าวันนี้คุณมีปัญหาอะไรซักเรื่อง ลองเดินเข้าไปที่ร้านหนังสือ หาหนังสือที่พอจะแก้ปัญหานั้น มาอ่านซักเล่มดูครับ
.
ไม่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่โต หรือเล็กน้อยซักแค่ไหน แต่เราเหมือนเจอทางตัน ไม่รู้จะแก้มันยังไง ลองเดินเข้าร้านหนังสือดู เผื่อว่าเราจะเจอไอเดียดีดี
.
หรือประสบการณ์จากคนอื่นที่อาจจะทำให้เราเจอหนทางใหม่ๆ ได้ครับ ส่วนตัวผมตอนที่เริ่มอ่านเมื่อ 2 ปีก่อน(2023) เพราะอยากจะเริ่มลงทุน แต่พอ Search Google ก็ข้อมูลเยอะไปหมด ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี
.
จนมาเจอหนังสือขายดีของพี่พอล ภัทรพล ศิลปาจารย์ : The Money Mastery เล่มนี้เปลี่ยนชีวิตผมเลย ถ้าใครสนใจเรื่องการลงทุนเพื่อการออม แนะนำเล่มนี้เลยครับ ของดีแน่นอน
.
อีกหนึ่งตัวอย่างของคนระดับโลกครับ Jensen Huang : CEO , Founder ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้(2025) NVIDIA เคยให้สัมภาษณ์ในรายการทีวี (ที่มาตาม Link นี้)
.
พิธีกรถามว่า : “ตอนนั้นคุณทำอย่างไรเพื่อโน้มน้าวนักลงทุน เพื่อมาสร้างทีมและสินค้าได้ยังไง”
เจนเซนตอบ : “ผมไม่รู้ว่าจะเขียน Business Plan ยังไง และผมก็ไปที่ร้านหนังสือที่แผนก Business และซื้อมัน”

ตัวอย่างของปัญหา หรือเหตุผลที่เราหาหนังสือซักเล่มมาอ่าน

  • อยากหาแรงบันดาลใจ เพื่อสร้าง content ดีดี
  • มีความทุกข์แต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร
  • อยากจะเรียนรู้สกิลใหม่ๆ เช่น การตลาด, การลงทุน, การวาดรูป etc.
  • อยากสร้างความบันเทิง อาจจะอ่านนิยายก็ได้
Jensen Huang

เรามีเหตุผลมากมายที่จะไม่อ่านหนังสือ

ชาร์ลี มังเกอร์ บอกว่า “วอร์เรน อ่านหนังสือวันละ 500 หน้า และบอกว่าทั้งชีวิตเค้า ในบรรดาคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่มีเลยซักคนที่จะไม่อ่านหนังสือตลอดเวลา”
.
ผมได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว ตอนนั้นผมคิดว่าแล้วยังไงต่อให้ผมอ่านไปผมก็คงเป็นแบบ ปู่วอร์เรน ไม่ได้หรอก 555+

  • อ่านหนังสือทีไร แล้วจะง่วงทุกที (ลองอ่านตั้งแต่ตื่นนอนดูมั้ยละ อิอิ)
  • แค่ทำงานก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้วเอาเวลาไหน ไปอ่านหนังสือ(แต่เล่น Tiktok, ดูซีรี่ย์เกาหลี จีน กันฉ่ำาาา)
  • มีเรื่องที่ต้องทำเยอะแยะเลย ไหนจะต้องซักผ้า ทำกับข้าว(แต่วันหยุดพาลูกไปเที่ยว ลูกอยากเที่ยวแหละ? 555+)

Bill Gates says: “You don’t start getting old until you stop learning. Every book teaches me something new or helps me see things differently. I was lucky to have parents who encouraged me to read. Reading fuels a sense of curiosity about the world, which I think helped drive me forward in my career and in the work that I do now.”

Bill Gates

เราเป็นนักอ่านอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่รู้ตัว

เราสามารถอ่านได้มากมาย กับอะไรก็ตามที่เราสนใจ แต่ไม่ได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ดีนะครับ แต่แค่จะบอกว่าจริงๆ เราเป็นนักอ่านอยู่แล้ว ลองเปลี่ยนเป็นหยิบหนังสือซักเล่มขึ้นมาอ่านดูก่อนครับ

  • อ่าน Subtitle ตอนดูซีรี่ย์ อ่านแบบไม่หยุด อ่านแบบมาราธอน วันไหนไม่ทำงานนี่ลากยาว ตั้งแต่เช้ายันเช้าอีกวัน
  • เรื่อง drama บนหน้า feed ไม่ว่าจะเป็นนาย ม โกงเงิน อ และนาย ต (วิญญาณนักสืบเข้าสิง ไล่อ่านโพสทุกช่องทางเพื่อหาว่าเค้าพูดถึงใคร โหนกระแสต้องเข้าแล้ว)
  • ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวตลาดโลก
  • ถ้าย้อนกลับไป 20 ปี (ดักแก่มาก) ตอนเข้าห้องน้ำผมอ่าน”หนังสือขายหัวเราะ” และเคยได้ยินว่าบางคนนี่อ่านฉลากสบู่บ้าง หรือแม้แต่อ่านสิ่งที่คนอื่นเขียนในห้องน้ำสาธารณะก็มี

Naval says “Read What You Love Until You Love to Read”

อ่านสรุป vs. อ่านหนังสือ

สำหรับผมการอ่านสรุป หรือแม้แต่อ่านบทความ มันจะเป็นเพียงเราดูหนังแค่หนึ่งเรื่อง (2-3 ชม.) แต่การอ่านหนังสือเหมือนเราดูซีรี่ย์หลายๆ ตอนที่เล่าเรื่องของแต่ละตัวละครที่มา ที่ไป ใครทำอะไรมาก่อนบ้าง Feeling มันจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลย
.
Morgan Housel เขียนในหนังสือ Same as Ever(มีแปลไทยแล้ว) ไว้ว่า ข้อมูลมีอยู่ 2 ประเภท คือข้อมูลที่ยั่งยืนและไม่ยั่งยืน
.
ข้อมูลที่ไม่ยั่งยืน มักจะได้รับความสนใจมากกว่า เพราะมันมีอยู่มากมาย และแย่งชิงพื้นที่ความสนใจจากเรา (ข่าวดราม่า, ไวรัลต่างๆ, short content (Tiktok อีกแล้ว 555+)
.
แต่ข้อมูลที่ยั่งยืนมักจะมองเห็นได้ยากกว่า เพราะมันซ่อนตัวอยู่ในหนังสือ มันไม่มีวันหมดอายุ และยังเพิ่มคุณค่าเมื่อเวลาผ่านไป
.
ไม่ได้บอกว่าคุณควรอ่านข่าวน้อยลงและอ่านหนังสือมากขึ้น แต่ถ้าเกิดคุณเจอหนังสือดีดี จะเข้าใจเองว่าคุณควรหรือไม่ควรจะให้ความสำคัญกับข่าวสั้นที่คุณอ่านอยู่

เริ่มแค่วันละนิด จนมันสร้างนิสัย(Routine)

ผมเชื่อว่าพลังแห่งการทบต้น มันสามารถใช้ได้กับทุกเรื่องรวมถึงเรื่องการอ่านด้วย ผมเชื่อว่าแค่เราอ่านวันละนิด มันจะสะสมไปเรื่อยๆ ลองคิดดูว่าอ่านแค่วันละ 15 นาที ครบ 1 ปี = 90ชม. แค่นี้ก็มากกว่าค่าเฉลี่ยที่คนส่วนใหญ่อ่านแล้วครับ
.
ขอยกอีกหนึ่งตัวอย่าง (แอดทอย) เป็นทั้งต้นแบบ, อาจารย์ และเป็นบุคคลที่น้องๆ รุ่นใหม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง
.
แอดทอยเขียนบทความล่าสุดเกี่ยวกับการ์ตูน One Punch Man ที่พระเอกเก่งเว่อร์ๆ แต่ตารางฝึกทำแค่เรื่องพื้นฐาน (ไปอ่านต่อในบทความตามแนบได้เลย)
.
และ Routine ของแอดทอย ก็มีแค่ ตื่นเช้า(ตี5) — อ่านหนังสือ(15-60นาที) — เขียนวันละ 1-2ชม. — แชร์ให้เพื่อนๆอ่าน
.
เรียบง่าย แต่ทำยากมาก แต่ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนทำได้ครับ เริ่มอ่านแค่ 5 นาทีก่อนก็ได้

ไม่ต้องเชื่อใคร แค่พิสูจน์ด้วยตัวเอง

ผมเองก็ไม่เคยเชื่อว่า คนแบบผมอ่านหนังสือไปแล้วชีวิตจะดีขึ้นหรือประสบความสำเร็จได้หรือป่าว
.
แต่ถ้าอยากจะพิสูจน์ก็แค่ต้องลองทำ ผมจะทดลองอ่านหนังสือทุกวัน เป็นระยะเวลา 10 ปี (15+ นาทีต่อวัน)
.
และในวันนั้นมาลองดูผลลัพธ์กันว่าจะเป็นอย่างไร หากเพื่อนๆ สนใจมาร่วมทดสอบด้วยกันได้นะครับ อย่างน้อยคุณจะไม่ได้ทำอย่างเดียวดายแน่นอน

PS1. หากชอบบทความนี้ สามารถแชร์ให้คนอื่นอ่านได้นะครับ หรือถ้าอยากติดตามบทความต่อไป กรอก Email Subscribe ด้านล่างได้เลย ขอบคุณมากๆ ครับ

PS2. ใครกำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่ตอนนี้ Comment มาแชร์กันได้นะครับ

หวังว่าสิ่งนี้ จะช่วยให้คุณดีขึ้นในทุกๆ วัน

แชร์บทความ ส่งต่อเรื่องดีดี 😍

0

Comments

Leave a comment