
“ถ้าย้อนเวลาไป 10 ปีที่แล้ว
ผมจะบอกให้ตัวเองอ่านหนังสือเยอะๆ”
ตอนแรกผมจะตั้งโพสนี้ว่า “อ่านหนังสือดี อย่างไร?” แต่เปลี่ยนเป็น “ทำไม? ถึงต้องอ่านหนังสือ” ดีกว่า เรารู้อยู่แล้วว่าการอ่านหนังสือมันดียังไง แต่แค่ยังหาเหตุผลที่จะอ่านไม่เจอ
- อ่านสือบางเล่ม ช่วยแก้ปัญหาให้เราได้
- เรามีเหตุผลมากมายที่จะไม่อ่านหนังสือ
- เราเป็นนักอ่านอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่รู้ตัว
- อ่านสรุป vs. อ่านหนังสือ
- เริ่มแค่วันละนิด จนมันสร้างนิสัย(Routine)
- ไม่ต้องเชื่อใคร แค่พิสูจน์ด้วยตัวเอง
อ่านสือบางเล่ม ช่วยแก้ปัญหาให้เราได้
ถ้าวันนี้คุณมีปัญหาอะไรซักเรื่อง ลองเดินเข้าไปที่ร้านหนังสือ หาหนังสือที่พอจะแก้ปัญหานั้น มาอ่านซักเล่มดูครับ
.
ไม่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่โต หรือเล็กน้อยซักแค่ไหน แต่เราเหมือนเจอทางตัน ไม่รู้จะแก้มันยังไง ลองเดินเข้าร้านหนังสือดู เผื่อว่าเราจะเจอไอเดียดีดี
.
หรือประสบการณ์จากคนอื่นที่อาจจะทำให้เราเจอหนทางใหม่ๆ ได้ครับ ส่วนตัวผมตอนที่เริ่มอ่านเมื่อ 2 ปีก่อน(2023) เพราะอยากจะเริ่มลงทุน แต่พอ Search Google ก็ข้อมูลเยอะไปหมด ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี
.
จนมาเจอหนังสือขายดีของพี่พอล ภัทรพล ศิลปาจารย์ : The Money Mastery เล่มนี้เปลี่ยนชีวิตผมเลย ถ้าใครสนใจเรื่องการลงทุนเพื่อการออม แนะนำเล่มนี้เลยครับ ของดีแน่นอน
.
อีกหนึ่งตัวอย่างของคนระดับโลกครับ Jensen Huang : CEO , Founder ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้(2025) NVIDIA เคยให้สัมภาษณ์ในรายการทีวี (ที่มาตาม Link นี้)
.
พิธีกรถามว่า : “ตอนนั้นคุณทำอย่างไรเพื่อโน้มน้าวนักลงทุน เพื่อมาสร้างทีมและสินค้าได้ยังไง”
เจนเซนตอบ : “ผมไม่รู้ว่าจะเขียน Business Plan ยังไง และผมก็ไปที่ร้านหนังสือที่แผนก Business และซื้อมัน”
ตัวอย่างของปัญหา หรือเหตุผลที่เราหาหนังสือซักเล่มมาอ่าน
- อยากหาแรงบันดาลใจ เพื่อสร้าง content ดีดี
- มีความทุกข์แต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร
- อยากจะเรียนรู้สกิลใหม่ๆ เช่น การตลาด, การลงทุน, การวาดรูป etc.
- อยากสร้างความบันเทิง อาจจะอ่านนิยายก็ได้

เรามีเหตุผลมากมายที่จะไม่อ่านหนังสือ
ชาร์ลี มังเกอร์ บอกว่า “วอร์เรน อ่านหนังสือวันละ 500 หน้า และบอกว่าทั้งชีวิตเค้า ในบรรดาคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่มีเลยซักคนที่จะไม่อ่านหนังสือตลอดเวลา”
.
ผมได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว ตอนนั้นผมคิดว่าแล้วยังไงต่อให้ผมอ่านไปผมก็คงเป็นแบบ ปู่วอร์เรน ไม่ได้หรอก 555+
- อ่านหนังสือทีไร แล้วจะง่วงทุกที (ลองอ่านตั้งแต่ตื่นนอนดูมั้ยละ อิอิ)
- แค่ทำงานก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้วเอาเวลาไหน ไปอ่านหนังสือ(แต่เล่น Tiktok, ดูซีรี่ย์เกาหลี จีน กันฉ่ำาาา)
- มีเรื่องที่ต้องทำเยอะแยะเลย ไหนจะต้องซักผ้า ทำกับข้าว(แต่วันหยุดพาลูกไปเที่ยว ลูกอยากเที่ยวแหละ? 555+)
Bill Gates says: “You don’t start getting old until you stop learning. Every book teaches me something new or helps me see things differently. I was lucky to have parents who encouraged me to read. Reading fuels a sense of curiosity about the world, which I think helped drive me forward in my career and in the work that I do now.”
Bill Gates
เราเป็นนักอ่านอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่รู้ตัว
เราสามารถอ่านได้มากมาย กับอะไรก็ตามที่เราสนใจ แต่ไม่ได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ดีนะครับ แต่แค่จะบอกว่าจริงๆ เราเป็นนักอ่านอยู่แล้ว ลองเปลี่ยนเป็นหยิบหนังสือซักเล่มขึ้นมาอ่านดูก่อนครับ
- อ่าน Subtitle ตอนดูซีรี่ย์ อ่านแบบไม่หยุด อ่านแบบมาราธอน วันไหนไม่ทำงานนี่ลากยาว ตั้งแต่เช้ายันเช้าอีกวัน
- เรื่อง drama บนหน้า feed ไม่ว่าจะเป็นนาย ม โกงเงิน อ และนาย ต (วิญญาณนักสืบเข้าสิง ไล่อ่านโพสทุกช่องทางเพื่อหาว่าเค้าพูดถึงใคร โหนกระแสต้องเข้าแล้ว)
- ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวตลาดโลก
- ถ้าย้อนกลับไป 20 ปี (ดักแก่มาก) ตอนเข้าห้องน้ำผมอ่าน”หนังสือขายหัวเราะ” และเคยได้ยินว่าบางคนนี่อ่านฉลากสบู่บ้าง หรือแม้แต่อ่านสิ่งที่คนอื่นเขียนในห้องน้ำสาธารณะก็มี
Naval says “Read What You Love Until You Love to Read”
อ่านสรุป vs. อ่านหนังสือ
สำหรับผมการอ่านสรุป หรือแม้แต่อ่านบทความ มันจะเป็นเพียงเราดูหนังแค่หนึ่งเรื่อง (2-3 ชม.) แต่การอ่านหนังสือเหมือนเราดูซีรี่ย์หลายๆ ตอนที่เล่าเรื่องของแต่ละตัวละครที่มา ที่ไป ใครทำอะไรมาก่อนบ้าง Feeling มันจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลย
.
Morgan Housel เขียนในหนังสือ Same as Ever(มีแปลไทยแล้ว) ไว้ว่า ข้อมูลมีอยู่ 2 ประเภท คือข้อมูลที่ยั่งยืนและไม่ยั่งยืน
.
ข้อมูลที่ไม่ยั่งยืน มักจะได้รับความสนใจมากกว่า เพราะมันมีอยู่มากมาย และแย่งชิงพื้นที่ความสนใจจากเรา (ข่าวดราม่า, ไวรัลต่างๆ, short content (Tiktok อีกแล้ว 555+)
.
แต่ข้อมูลที่ยั่งยืนมักจะมองเห็นได้ยากกว่า เพราะมันซ่อนตัวอยู่ในหนังสือ มันไม่มีวันหมดอายุ และยังเพิ่มคุณค่าเมื่อเวลาผ่านไป
.
ไม่ได้บอกว่าคุณควรอ่านข่าวน้อยลงและอ่านหนังสือมากขึ้น แต่ถ้าเกิดคุณเจอหนังสือดีดี จะเข้าใจเองว่าคุณควรหรือไม่ควรจะให้ความสำคัญกับข่าวสั้นที่คุณอ่านอยู่

เริ่มแค่วันละนิด จนมันสร้างนิสัย(Routine)
ผมเชื่อว่าพลังแห่งการทบต้น มันสามารถใช้ได้กับทุกเรื่องรวมถึงเรื่องการอ่านด้วย ผมเชื่อว่าแค่เราอ่านวันละนิด มันจะสะสมไปเรื่อยๆ ลองคิดดูว่าอ่านแค่วันละ 15 นาที ครบ 1 ปี = 90ชม. แค่นี้ก็มากกว่าค่าเฉลี่ยที่คนส่วนใหญ่อ่านแล้วครับ
.
ขอยกอีกหนึ่งตัวอย่าง (แอดทอย) เป็นทั้งต้นแบบ, อาจารย์ และเป็นบุคคลที่น้องๆ รุ่นใหม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง
.
แอดทอยเขียนบทความล่าสุดเกี่ยวกับการ์ตูน One Punch Man ที่พระเอกเก่งเว่อร์ๆ แต่ตารางฝึกทำแค่เรื่องพื้นฐาน (ไปอ่านต่อในบทความตามแนบได้เลย)
.
และ Routine ของแอดทอย ก็มีแค่ ตื่นเช้า(ตี5) — อ่านหนังสือ(15-60นาที) — เขียนวันละ 1-2ชม. — แชร์ให้เพื่อนๆอ่าน
.
เรียบง่าย แต่ทำยากมาก แต่ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนทำได้ครับ เริ่มอ่านแค่ 5 นาทีก่อนก็ได้
ไม่ต้องเชื่อใคร แค่พิสูจน์ด้วยตัวเอง
ผมเองก็ไม่เคยเชื่อว่า คนแบบผมอ่านหนังสือไปแล้วชีวิตจะดีขึ้นหรือประสบความสำเร็จได้หรือป่าว
.
แต่ถ้าอยากจะพิสูจน์ก็แค่ต้องลองทำ ผมจะทดลองอ่านหนังสือทุกวัน เป็นระยะเวลา 10 ปี (15+ นาทีต่อวัน)
.
และในวันนั้นมาลองดูผลลัพธ์กันว่าจะเป็นอย่างไร หากเพื่อนๆ สนใจมาร่วมทดสอบด้วยกันได้นะครับ อย่างน้อยคุณจะไม่ได้ทำอย่างเดียวดายแน่นอน
PS1. หากชอบบทความนี้ สามารถแชร์ให้คนอื่นอ่านได้นะครับ หรือถ้าอยากติดตามบทความต่อไป กรอก Email Subscribe ด้านล่างได้เลย ขอบคุณมากๆ ครับ
PS2. ใครกำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่ตอนนี้ Comment มาแชร์กันได้นะครับ
หวังว่าสิ่งนี้ จะช่วยให้คุณดีขึ้นในทุกๆ วัน
แชร์บทความ ส่งต่อเรื่องดีดี 😍

